ประวัติส่วนตัว คริสฯ โรฯ ดอส ซานโต๊ส อเวยโร่

 
     โรนัลโด้ เริ่มอาชีพค้าแข้งกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อปี 1997 ในทีมระดับเยาวชน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่ได้สำเร็จ  ในปี 2001 ภายหลัง พัฒนาฝีเท้าขึ้นจาก ทีมยู-16, ยู-17, ยู-18 และ ทีมชุดบี ตามลำดับ และเมื่อ อายุ 17 ปี โรนัลโด้ ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง เป็นครั้งแรก และยิง 2 ประตู ในเกมที่พบกับ โมไรเรนส์ และเขาก็ยังก้าวไปติดทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุต่ำกว่า 17 ปีในศึกชิงแชมป์ยุโรป อีกด้วย
 
      ฝีเท้าของเขามาเตะตา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงที่พา "ปีศาจแดง" ไปลงเตะอุ่นเครื่องกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2003/2004 ซึ่งนักเตะของ "ปีศาจแดง" โดนโรนัลโด้ ใช้ทักษะอันยอดเยี่ยม สร้างความปั่นป่วนให้ทั้งเกมการแข่งขัน และช่วยให้ สปอร์ติ้ง เอาชนะ ยอดทีมจากเกาะอังกฤษ ไปได้ 3-1 จนนำมาสู่การจัดการซื้อตัว โรนัลโด้ มาสู่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ (771 ล้านบาท) เพื่อมาเป็นตัวตายตัวแทนของ เดวิด เบ็คแฮม ที่ย้ายไปร่วมทีมรีล มาดริด
 
      นับตั้งแต่ที่ โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาก็ได้รับทั้งคำชื่นชมอย่างมากมายในเรื่องทักษะ ความสามารถส่วนตัวของเขา  โดยในฤดูกาล 2003-2004 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของ โรนัลโด้ เขาต้องพบกับความกดดัน  ในการเข้ามารับตำแหน่งหมายเลข 7 ของทีมต่อจาก เบ็คแฮม และบรรดานักเตะระดับตำนานของ "ปีศาจแดง" ที่เคยใช้เบอร์นี้ในสีเสื้อ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเป็น เอริค คันโตน่า, จอร์จ เบสต์ หรือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ท่ามกลางความคาดหวังอย่างมากจากแฟนบอล จนทำให้เขาเคยไปขอเปลี่ยนเบอร์เสื้อจากหมายเลข 7 กลับไปเป็นหมายเลข 28 ที่เขาเคยใส่ในสมัยที่อยู่กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน แต่ก็ถูกทางสโมสร ปฏิเสธ เพราะเชื่อว่า โรนัลโด้ เหมาะสมกับการสืบทอดตำนานหมายเลข 7 ของ "ปีศาจแดง" ต่อไป
 
      โรนัลโด้  ลงสนามให้ทีม”ปีศาจแดง” ครั้งแรกในเกมทีมถล่ม โบลตัน วันเดอเรอร์ส โดยเขาถูกเปลี่ยนเป็นตัวสำรองลงสนามในนาทีที่ 60 ของเกม และใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ชิพ และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกของเขา ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ที่เอาชนะ มิลล์วอลล์ 3-0 ที่มิลเลเนี่ยม สเตเดี้ยม ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Sir Matt Busby Player of the Year) ประจำฤดูกาล 2003/04
 
       แม้ว่า หลังศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน โรนัลโด้ ถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้ เวย์น รูนี่ย์ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส โรนัลโด้ถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า อย่างไรก็ดี โรนัลโด้ยังคงเล่นให้กับทีม “ปีศาจแดง” ต่อไป และเขาก็พาทีมออกสตาร์ตฤดูกาล 2006-2007 ได้อย่างสวยหรู ด้วยการถล่ม ฟูแล่ม ไปถึง 5-1 หลังจากนั้น โรนัลโด้ ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีอิทธิพลต่อทีมยูไนเต็ดมากที่สุด หลังจากซัดไปด 6 ประตู จากการลงสนาม 3 นัด ซึ่งส่งผลให้เขาทำประตูรวมไปแล้ว 12 ลูก ก่อนที่จะมายิงเพิ่มได้อีก 2 ลูกในเกม ที่พบกับ วีแกน
 
      ในวันที่ 2 ธันวาคม โรนัลโด้ ได้รับการประกาศให้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปเป็นอันดับ 2 รองจาก ริคาร์โด้ กาก้า เพลย์เมกเกอร์จอมทัพของ เอซี มิลาน ก่อนที่ถัดมาอีก 2 สัปดาห์ โรนัลโด้ ก็ถูกประกาศให้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกอันดับ 3 รองจาก กาก้า อันดับ 1 และ ลีโอเนล เมสซี่  อันดับ 2 ตามลำดับ
 
      โรนัลโด้ ยังคงโชว์ฟอร์มให้กับ ยูไนเต็ด ได้อย่างร้อนแรงต่อไป และเขาก็สามารถทำแฮตทริกแรกของเขากับ ยูเนเต็ด ได้ ในเกมที่ถล่ม นิวคาสเซิ่ล 6-0 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ ในวันที่ 12 มกราคม 2008  และเป็นผลการแข่งขันที่ทำให้ ยูไนเต็ด ก้าวขั้นมาครองอันดับ 1 ของตารางพรีเมียร์ชิพได้สำเร็จ  ขณะที่ฟอร์มการผลิตประตูของ โรนัลโด้ ก็ยังทำงานอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีตก โดยตอนนี้ เขายิงประตูให้ทีมรวมไปแล้ว 23 ประตู เทียบเท่ากับ ในซีซั่นก่อน ก่อนที่ในที่สุด ในวันที่ 19 มีนาคม 2008  โรนัลโด้ จะสร้างสถิติเป็นนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ทำประตูได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล โดยทำลายสถิติเดิมของ จอร์จ เบสต์ อดีตดาวเตะระดับตำนานของ “ปีศาจแดง” ที่เคยทำไว้ที่ 32 ประตู ในระหว่างปี 1967-68
 
      โรนัลโด้ ถูก เรอัล มาดริด ให้ความสนใจอีกครั้ง โดยคราวนี้ ทีม “ราชันชุดขาว” ประกาศพร้อมทุ่ม 100 ล้านปอนด์ (6,300 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว โรนัลโด้ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ก็โดน ยูไนเต็ด ปฏิเสธหน้าหงายไปอย่างไม่ใยดี และในวันที่ 10 พฤษภาคม 2008 โรนัลโด้ สามารถยิงประตูสำคัญในเกมนัดสุดท้าย ที่พบกับ วีแกน ให้ทีมออกนำไปได้ 1-0 จากลูกจุดโทษ ซึ่งถือเป็นประตูรวมที่ 41 และประตูที่ 31 ในศึกพรีเมียร์ชิพ ของเขาแล้วในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะมาบวกเพิ่มให้กับตนเองได้อีกหนึ่งลูกในนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะ เชลซี มาได้ ด้วยการดวลจุดโทษ 6-5 ซึ่งถือเป็นถ้วยรางวัลใบทีสองของ ยูไนเต็ด หลังจาก ที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพมาครองได้แล้ว ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ โรนัลโด้ มีสถิติการยิงประตูเป็นรอง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ในปี 2002-2003 อยู่เพียง 2 ลูกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นผลงานที่ดีพอที่จะทำให้ โรนัลโด้ คว้ารางวัล รองเท้าทองคำประจำฤดูกาล 2007-2008 มาครองได้สำเร็จ
 
       ปีกจอมสับชาวโปรตุกีสประสบความสำเร็จอย่างสูงในฤดูกาล 2007-08 ทั้งการพาต้นสังกัดแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและถ้วยใหญ่ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รวมถึงรางวัลส่วนตัวมากมายชนิดนับไม่ถ้วน ทำให้เจ้าตัวเป็นที่สนใจจากหลายสโมสร ทว่าโรนัลโด้ก็ยังตัดสินใจอยู่กับปีศาจแดงไปอีก 1 ฤดูกาล ก่อนยุติเส้นทางการค้าแข้งที่ดรงละครแห่งความฝันด้วยการย้ายไปซบเรอัล มาดริด ทีมขวัญใจในวัยเด็กด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก (80 ล้านปอนด์) เมื่อซัมเมอร์ปี 2009  
 
        
Last Update : 2015-07-13