ประวัติส่วนตัว แอนดี้ โคล

        แอนดรูว์ อเล็กซานเดอร์ "แอนดี้" โคล สร้างชื่อที่สุดตอนจับคู่กับดไวท์ ยอร์ค ช่วยกันถล่มประตูให้แมนฯ ยูไนเต็ดคว้าแชมป์นับไม่ถ้วน เป็นเจ้าของตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ ลีก เป็นอันดับสอง ทั้งหมด 187 ประตู รองจากอลัน เชียเรอร์ ที่ทำได้ 260 ประตู ในระดับสโมสรเขากวาดมาหมดทุกถ้วยในอังกฤษ นอกจากนั้นยังได้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ระดับสโมสร

ช่วงต้นของอาชีพ

       โคลเริ่มต้นอาชีพในฐานะนักเตะเยาวชนอาร์เซนอล หลังจากที่ออกจากโรงเรียนในปี 1988 และเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพในปี 1989 เขาลงเล่นในลีกให้อาร์เซนอลนัดเดียว ตอนอายุ 19 ในฐานะตัวสำรองเจอกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดที่ไฮบิวรี่ เกมฟุตบอลดิวิชั่นหนึ่งเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 1990 ที่อาร์เซนอลชนะ 4-1

       ปี 1991 อาร์เซนอลส่งตัวเขาให้ฟูแล่มที่ขณะนั้นอยู่ดิวิชั่น 3 ยืมตัว โคล ยิงได้ 3 ประตูจาก 13 เกม ก่อนจะโดนขายให้บริสตอล ซิตี้ ค่าตัว 500,000 ปอนด์ ในเวลานั้นเขาคือนักเตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรบริสตอล ซิตี้

       หลังจากที่พิสูจน์ตัวเองในฐานะกองหน้าดาวรุ่งที่บริสตอล ซิตี้ (ที่เริ่มซีซั่น 1992/93 ในลีกดิวิชั่น 1 หลังจากการเกิดของฟุตบอลพรีเมียร์ ลีก) โคลสร้างชื่อเป็น 1 ในดาวยิงที่ฮอตที่สุดของอังกฤษ และมีข่าวกับทีมในพรีเมียร์ ลีก ตลอดซีซั่น 1992/93

นิวคาสเซิล

       กุมภาพันธ์ 1993 นิวคาสเซิล จ่าฝูงดิวิชั่น 1 ทุ่มเงิน 1.75 ล้านปอนด์เป็นสถิติของสโมสรในตอนนั้นดึงตัวเขามาร่วมทีม โคล ยิง 12 ประตูจาก 12 นัดช่วยให้แม็กพายส์เลื่อนชั้นจากดิวิชั่นหนึ่งขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ ลีก ผลงาน 12 ประตู รวมสองแฮตทริก (ครั้งแรกพบบาร์นสลีย์ วันที่ 7 เมษายน และครั้งที่สองนัดสุดท้ายของฤดูกาล ที่นิวคาสเซิลถล่มเลสเตอร์ 7-1) นอกจากนั้นยังเป็นคนยิงลูกแรกจากทั้งหมด 2 ประตูนัดที่นิวคาสเซิลชนะกริมสบี้ ทาวน์ 2-0 ที่บลันเดลล์ พาร์ค วันที่ 4 พฤษภาคมที่ช่วยให้นิวคาสเซิลการันตีเลื่อนชั้น

       หลังจากที่เดวิด เคลลี่ ถูกขายให้วูล์ฟแฮมพ์ตัน วันเดอเรอร์ส เควิน คีแกน ผู้จัดการทีมคว้าตัวปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ มาเป็นคู่ขาของโคล เพื่อศึกพรีเมียร์ ลีกฤดูกาล 1993/94

       โคล ยิง 34 ประตูจาก 40 เกม ซีซั่นแรกในพรีเมียร์ ลีกของนิวคาสเซิล ที่จบซีซั่นที่อันดับ 3 และได้ไปยูฟ่า คัพ รวมทุกรายการแล้วโคลทำ 41 ประตู ทำลายสถิติของสโมสรที่ฮิวกี้ กัลลาเกอร์ ทำไว้เมื่อเกือบ 70 ปีก่อนหน้า (กัลลาเกอร์ยังถือครองสถิติยิงสูงสุดในลีก ในซีซั่นเดียวที่เขาทำได้ 36 ประตูอยู่) ประตูแรกในลีกสูงสุดของโคลคือนัดที่นิวคาสเซิลเสมอแมนฯ ยูไนเต็ดแชมป์เก่า 1-1 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดวันที่ 21 สิงหาคม ประตูนี้เป็นประตูแรกของนิวคาสเซิลในพรีเมียร์ ลีกด้วย

       3 เดือนถัดมา โคลเหมาคนเดียวสามประตูให้แม็กพายส์ขยี้ ลิเวอร์พูล 3-0 ในบ้าน ก่อนจะมาทำอีกแฮตทริกให้นิวคาสเซิลนัดที่พบกับโคเวนทรี ปลายเดือนกุมภาพันธ์ และกับปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ที่เล่นได้อย่างเข้าขาแล้ว นิวคาสเซิลจบอันดับ 3 และได้ไปยูฟ่า คัพ เป็นครั้งแรกของสโมสรนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 โคลต่อมาได้รับเลือกเป็นผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมของ PFA ในซีซั่นนั้น

       หลังจากนั้นโคล ยิง 9 ประตูในพรีเมียร์ ลีก จากการเล่น 18 นัดให้นิวคาสเซิล หลังเริ่มซีซั่น 1994/95 และทำแฮตทริกได้ในนัดที่พบกับโรยัล อันท์เวิร์ป ในยูฟ่า คัพ

       รวมแล้วโคลยิง 68 ประตูจาก 84 เกมให้นิวคาสเซิลที่ทำให้เขามีค่าเฉลี่ยที่ 81 เปอร์เซ็นต์การยิงประตูต่อเกมที่นิวคาสเซิล มีแค่ฮิวกี้ กัลลาเกอร์ ที่มีสถิติดีกว่า ประตูสุดท้ายของโคลคือนัดที่นิวคาสเซิลเสมออิปสวิชในบ้าน 1-1 วันที่ 26 พฤศจิกายน 1994

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

       10 มกราคม 1995 โคลโดนขายแบบปัจจุบันทันด่วนให้แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ (6 ล้านปอนด์ บวกคีธ กิลเลสพี ที่ประเมินค่าตัวที่ 1 ล้านปอนด์) เป็นสถิติค่าตัวย้ายทีมสูงที่สุดของอังกฤษในตอนนั้น

       แม้จะย้ายทีมช่วงกลางซีซั่น1994-95 โคลยังทำได้ 12 ประตูจาก 18 นัดในพรีเมียร์ ลีกให้ยูไนเต็ด รวมประตูแรกของเขาที่ช่วยให้ยูไนเต็ดชนะแอสตัน วิลล่า 1-0 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด วันที่ 4 กุมภาพันธ์ และ 5 ประตูในนัดที่แมนฯ ยูไนเต็ดถล่มอิปสวิช 9-0 ที่ทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิง 5 ประตูในเกมเดียวในลีก

       อย่างไรก็ตามโคลพลาดโอกาสงาม 2 ครั้งในนัดสุดท้ายของซีซั่น ที่แมนฯ ยูไนเต็ดพบเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ขณะที่เกมยังเสมอ 1-1 และแชมป์พรีเมียร์ ลีก ตกเป็นของแบล็คเบิร์น ยูไนเต็ดแทน เขาติดคัพไทในเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ 1 สัปดาห์ต่อมา และแมนฯ ยูไนเต็ดแพ้เอฟเวอร์ตัน 0-1 เกมนี้ยูไนเต็ดไม่มีอีกสองตัวที่เป็นดาวยิงสูงสุดของทีมในซีซั่นนั้นอย่างเอริก คันโตน่าเนื่องจากโทษพักแข้ง อังเดร แคนเชลสกี้ ปีกจรวดที่ได้รับบาดเจ็บ

       ฤดูกาลแรกแบบเต็มๆ ของโคลปี 1995/96 เป็นปีที่ยากทีเดียวสำหรับเขา เนื่องจากโคลกลายเป็นหัวหอกฟอร์มทู่ในทีมที่ตอนนี้มีเอริก คันโตน่าเป็นแกน กระนั้นโคลยังทำประตูได้ 4 นัดติดต่อกันในช่วงหน้าหนาว รวมถึงประตูเบิกร่องลูกสำคัญให้แมนฯ ยูไนเต็ดเอาชนะนิวคาสเซิล คู่แข่งแย่งแชมป์ในปีนั้น 2-0 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม โคลถูกทั้งสื่อ และแฟนบอลถากถางเกือบทั้งซีซั่นที่เขายิงได้แค่ 14 ประตู และพลาดโอกาสงามๆ หลายหน อย่างไรก็ตามเขากลับมาเข้าฟอร์มเก่งช่วงท้ายซีซั่น และยิงประตูสำคัญๆ รวมถึงประตูชัยในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศที่ยูไนเต็ดพบเชลซี และได้ไปเวมบลีย์อีกครั้ง หลังจากนั้นเขาได้เหรียญแชมป์พรีเมียร์ ลีกครั้งแรก และยิงประตูที่สองในนัดที่ยูไนเต็ดชนะมิดเดิลสโบรห์ในนัดสุดท้าย 3-0 ที่ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ดได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่ 3 ใน 4 ปี เขาลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ด้วย และเป็นหนึ่งในทีมอังกฤษทีมแรกที่ได้ดับเบิลแชมป์ 2 ครั้ง

       ก่อนซีซั่น 1996-97 จะเริ่มโคลกลายเป็นส่วนหนึ่งในสัญญามูลค่า 12 ล้านปอนด์เพื่อตัวอลัน เชียเรอร์ กองหน้าแบล็คเบิร์น อย่างไรก็ตามข้อเสนอดังกล่าวถูกปัดทิ้ง และเชียเรอร์เลือกนิวคาสเซิล แม้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะประกาศชัดให้โคลทราบว่าเขากำลังหากองหน้าอีกตัว หลังจากที่ดึงเชียเรอร์ไม่สำเร็จ โคลต่อสู้อยู่ที่แมนฯ ยูไนเต็ดต่อไป และได้สวมเสื้อหมายเลข 9 (ตอนแรกใส่เบอร์ 17) การมาของโอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ และการบาดเจ็บขาหักทั้งสองข้างหลังจากที่ถูกนีล รัดด็อก เข้าเสียบในเกมทีมสำรองที่เจอกับลิเวอร์พูลจำกัดโอกาสการเล่นให้ทีมชุดใหญ่แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างไรก็ตามโคลกลับมาในเดือนธันวาคมของปีนั้น และได้เล่นอีก 20 นัดในพรีเมียร์ ลีก (สำรอง 10 นัด) ในซีซั่นดังกล่าว เขาปิดซีซั่นได้อย่างสวยงามจากการยิงประตูสำคัญๆ ทั้งในลีก (อาทินัดเยือนอาร์เซนอลคู่แข่งแย่งแชมป์) และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ผที่ที่เขายิงประตูที่ได้รับเลือกให้เป็นประตูที่ดีที่สุดของฟุตบอลถ้วยยุโรป นัดที่แมนฯ ยูไนเต็ดพบปอร์โต้) หลังจากที่หายจากการบาดเจ็บ หลังจากนั้นโคลยิงประตูให้แมนฯ ยูไนเต็ดบุกไปชนะลิเวอร์พูล (ที่ที่เขาขาหักครึ่งซีซั่นก่อนหน้า) 3-1 ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ดการันตีแชมป์พรีเมียร์ ลีก สมัยที่ 4 ใน 5 ปี

       ฤดูกาล 1997-98 การประกาศแขวนสตั๊ดของเอริก คันโตน่า ทำให้โคลเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งอีกครั้ง และฟอร์มถล่มประตูที่ดีที่สุดของเขากับแมนฯ ยูไนเต็ดกลับมา จบฤดูกาลเขาได้เป็นดาวยิงสูงสุดร่วมของพรีเมียร์ ลีก จากผลงานการยิง 18 ประตู รวมถึงลูกชิพสุดสวยในเกมกับเอฟเวอร์ตัน ที่แฟนโหวตให้เป็นประตูที่สวยที่สุดของแมนฯ ยูไนเต็ดซีซั่นนั้น เขากับเท็ดดี้ เชอริงแฮม เข้าขากันมากขึ้น (แม้ส่วนตัวแล้วสองคนจะไม่ลงรอยกัน) อย่างไรก็ตามแมนฯ ยูไนเต็ดไม่มีถ้วยติดไม้ติดมือเป็นครั้งที่สองในรอบ 9 ปี เนื่องจากท้ายที่สุดพวกเขาเสียแชมป์ให้อาร์เซนอล โคลประสบความสำเร็จโดยส่วนตัวซีซั่นนี้ โดยการยิงแฮตทริกแรกของเขาในยุโรป นัดที่ไปเยือนเฟเยนูร์ด และได้รับเลือกให้เป็นรองอันดับ 1 นักเตะยอดเยี่ยมของ PFA ที่เดนนิส เบิร์กแคมป์ของอาร์เซนอลได้ไป และถึงจะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงได้ถึง 25 ประตูทุกรายการ โคลหลุดจากทีมชาติอังกฤษชุดลุยฟุตบอลโลก 1998 ของเกล็น ฮอดเดิล กุนซือทีมชาติอังกฤษในตอนนั้น โคลยังคงกำลังใจดี เมื่อให้สัมภาษณ์ และถูกถามถึงการกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง เขาอ้างว่าเขาค้นพบอิสระในชีวิต หลังจากที่ซีซั่นก่อนหน้าได้รับบาดเจ็บ เขากลับมามีชีวิตชีวาเพราะลูกชายที่เกิดใหม่ เขามีชีวิตอยู่เพื่อลูก เพื่อครอบครัว และกลับมามีศรัทธาในศาสนาอีกครั้ง โคลยังได้พูดถึงไรอัน กิ๊กส์ เพื่อนร่วมห้องของเขาในนัดเยือน เป็นคนที่ช่วยให้เขาผ่านความยากลำบากได้ตอนที่แฟนบอลไม่เชื่อมั่นในตัวเขา

       โคลเจอการแข่งขันที่เข้มข้นเพื่อตำแหน่งตัวจริงเมื่อแมนฯ ยูไนเต็ดเซ็นดไวท์ ยอร์ค ฤดูกาล 1998/99 อย่างไรก็ตามเขากับยอร์คเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยในฐานะกองหน้าคู่ของแมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งสองยิงรวมกัน 53 ประตู และได้รับการกล่าวขานเป็น 1 ในคู่หัวหอกที่อันตรายที่สุดของยุโรป ทั้งคู่ยิงประตูให้แมนฯ ยูไนเต็ดได้ที่บาร์เซโลน่า และทำได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดซีซั่น ที่ทั้งสองผ่านลูกจังหวะเดียวให้กันอย่างรู้ใจเหมือนโทรจิตถึงกันได้ โคลมีส่วนสำคัญช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ดคว้าทริปเปิลแชมป์ นั่นคือพรีเมียร์ ลีก, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเป็นคนยิงประตูชัยในพรีเมียร์ ลีก เกมสุดท้ายของซีซั่นที่พวกเขาพบสเปอร์ส ที่ทำให้ยูไนเต็ดมีแต้มมากกว่าอาร์เซนอลทีมอันดับสอง 1 แต้ม นอกจากนั้นยังเป็นคนยิงประตูที่ 3 และประตูชัยในรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่แมนฯ ยูไนเต็ดพบยูเวนตุส ส่งแมนฯ ยูไนเต็ดเข้าชิงยูโรเปี้ยน คัพ ครั้งแรกในรอบ 30 ปี ฤดูกาลเดียวกันนี้ โคลยิงประตูที่ 100 ของเขาในพรีเมียร์ ลีก นัดยูไนเต็ดเปิดศึกชิงบัลลังก์จ่าฝูงกับอาร์เซนอลที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ผลเสมอกันไป 1-1

       โคลเป็นดาวซัลโวของแมนฯ ยูไนเต็ดอีกครั้งฤดูกาล 1999/2000 ด้วยผลงาน 19 ประตูจาก 28 นัดในพรีเมียร์ ลีก เขาได้เหรียญรางวัลแชมป์พรีเมียร์ ลีก ครั้งที่ 4 ใน 5 ซีซั่น และยิงเกิน 20 ประตูทุกรายการเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โคลยิงได้หลายประตูให้ยูไนเต็ดรวมถึงประตูโทนนัดสองทีมนำพบกัน  นัดที่ยูไนเต็ดพบกับลีดส์ ทีมคู่รักคู่แค้น และเป็นผู้เล่นหัวแถวของลีกช่วงระหว่างซีซั่น เมื่อยิงประตูที่ 100 ให้แมนฯ ยูไนเต็ดนัดที่เสมอวิมเบิลดัน 2-2

       ฤดูกาลต่อมาโคลคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีกได้เหมือนเคย แม้การบาดเจ็บจะจำกัดการเล่นของเขา โคลยิงได้ 13 ประตูทุกรายการ รวมถึง 4 ประตูในยูโรเปี้ยน คัพ ที่ทำให้เขาเป็นนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ยิงได้มากที่สุดตลอดกาลในถ้วยยุโรป

       ฤดูกาลต่อมา (2001/02) โคลเจอการแข่งขันจากรุด ฟาน นิสเตลรอย, ดไวท์ ยอร์ค, โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ และจากพอล สโคลส์ ที่ขยับมาเล่นกองหน้า จากการที่เฟอร์กูสัน วางหมากแบบรัดกุมขึ้นโดยเฉพาะในยุโรป โดยการให้สโคลส์ เล่นด้านหลังฟาน นิสเตลรอย และด้านหลังมีรอย คีน และฮวน เวรอน ทำเกมตรงกลาง ถึงกระนั้นโคลยังทำได้ 7 ประตูก่อนจะย้ายมาแบล็คเบิร์น หลังจากที่ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงจากฟาน นิสเตลรอย และโอเล่ โซลชาร์ คู่หน้าหลักได้

       โคลลงเล่นนัดสุดท้ายให้ยูไนเต็ดในเกมฉลองยูฟ่า 6 ปีต่อมา วันที่ 13 มีนาคม 2007 ที่เขาลงเล่นในช่วงพักครึ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ดพบทีมรวมดารายุโรป เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปีของ ประชาคมยุโรป (อีซี)และ 50 ปีของแมนฯ ยูไนเต็ดในยูโรเปี้ยน คัพ

แบล็คเบิร์น

       29 ธันวาคม 2001 โคลถูกขายให้แบล็คเบิร์นค่าตัว 8 ล้านปอนด์ หลังจากนั้นสองเดือนเขาได้แชมป์ ลีก คัพ ที่เขาเป็นคนยิงประตูชัยให้ทีมเอาชนะสเปอร์ส ในนัดชิงชนะเลิศ จบซีซั่นนั้นเขาทำได้ 18 ประตูทุกถ้วยเป็นการยิงให้แมนฯ ยูไนเต็ด 5 ประตูและ 13 ประตูจากการเล่นให้แบล็คเบิร์น 20 นัด

       แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ได้อันดับ 6 ซีซั่นต่อมา และผ่านเข้ารอบไปยูฟ่า คัพ ฤดูกาลนี้เองที่โคลได้จับคู่กับดไวท์ ยอร์ค (ย้ายจากแมนฯ ยูไนเต็ดมาแบล็คเบิร์นด้วยค่าตัว 2 ล้านปอนด์เดือนกรกฎาคม 2002) อีกครั้ง

       ฤดูกาล 2003/04 โคลพบกับซีซั่นที่วุ่นวาย เมื่อโรเวอร์สหล่นไปอยู่ครึ่งล่างของตาราง และจบที่อันดับ 15 เขาทำได้ 11 ประตู แต่ความสัมพันธ์กับแกรม ซูเนสส์ ผู้จัดการทีมย่ำแย่ หลังจากที่โคลรายงาน PFA ว่าซูเนสส์ไม่ยุติธรรมกับเขา โคลยิง 37 ประตูจาก 100 นัดทุกถ้วยให้แบล็คเบิร์น

ช่วงปลายอาชีพ และแขวนเกือก

       13 ปีหลังจากที่อยู่กับฟูแล่ม 1 เดือนตามสัญญายืมโคลกลับมายังถิ่นเก่า คราเวน ค็อตเทจ ซีซั่น 2004/05 ด้วยสัญญา 1 ปี เขาเป็นดาวยิงสูงสุดของทีม และยิง 1 ในประตูที่สวยที่สุดของซีซั่นนัดพบกับลิเวอร์พูล แม้จะประสบความสำเร็จที่ฟูแล่ม เขาตัดสินใจไปจากทีมหลังจบฤดูกาล เนื่องจากครอบครัวต้องการกลับตะวันตกเฉียงเหนือ

       โคลเซ็นสัญญากับแมนฯ ซิตี้ แบบไม่มีค่าตัวช่วงต้นซีซั่น 2005/06 และเริ่มต้นได้สวยที่อีสต์แลนด์ ทีมของสจ๊วร์ต เพียร์ซ อยู่ครึ่งบนของตารางคะแนนเกือบทั้งซีซั่น อย่างไรก็ตามโคลโชคร้ายที่ต้องปิดเทอมเดือนมีนาคมเนื่องจากการบาดเจ็บ

       ทั้งที่เซ็นสัญญาใหม่กับแมนฯ ซิตี้ ไม่กี่เดือนก่อนหน้า และทิ้งฟูแล่มเพื่อกลับตอนเหนือปี 2005 โคลเซ็นสัญญาย้ายมาอยู่กับทีมทางใต้อย่างพอร์ทสมัธในวันสุดท้ายของการโยกย้าย (31 สิงหาคม 2006) ด้วยค่าตัวที่ไม่เปิดเผย ที่ขึ้นได้ถึง 1 ล้านปอนด์ตามสถิติการลงเล่น เขายิงประตูแรกที่พอร์ทสมัธ นัดเอาชนะเวสต์บรอม 2-0 ในบ้าน วันที่ 14 ตุลาคม 2006 อย่างไรก็ตามโคลหาตำแหน่งตัวจริงลำบากที่พอร์ทสมัธ ที่มีแฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์เป็นกุนซือ มาเดือนมีนาคม 2007 เขาเซ็นสัญญาย้ายไปเบอร์มิงแฮมแบบยืมตัวจนกระทั่งจบฤดูกาล โคล กลับมาพอร์ทสมัธ หลังลงเล่น 5 นัดและทำได้ 1 ประตู (นัดพบวูล์ฟส์) ให้เบอร์มิงแฮม วันที่ 3 สิงหาคม 2007 เขาถูกปล่อยตัว

       หลังถูกพอร์ทสมัธปล่อยตัวเมื่อจบฤดูกาล 2006/07 โคลเซ็นสัญญา 1 ปีกับซันเดอร์แลนด์แบบไม่มีค่าตัว และได้ร่วมงานกับดไวท์ ยอร์ค เพื่อนเก่าที่แมนฯ ยูไนเต็ด และแบล็คเบิร์น อีกครั้ง ภายใต้การนำของรอย คีน อดีตเพื่อนร่วมทีมแมนฯ ยูไนเต็ด หลังจากที่ลงเล่นให้ซันเดอร์แลนด์ 7 นัดเขาถูกส่งให้เบิร์นลีย์ยืมตัว และโดนปล่อยตัวเมื่อจบฤดูกาล 2007/08

       4 กรกฎาคม 2008 โคลเซ็นสัญญา 12 เดือนกับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ สโมสรที่ 12 ของเขา และสโมสรในถิ่นเกิด อย่างไรก็ตาม 31 ตุลาคม 2008 ฟอเรสต์ยืนยันยกเลิกสัญญาด้วยความยินยอมสองฝ่าย หลังจากที่โคลลงเล่น 11 นัดและทำประตูไม่ได้

       11 พฤศจิกายน 2008 โคล ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ยุติเส้นทางที่เขาโลดแล่นมา 19 ปี

ทีมชาติ

       โคลติดทีมชาติครั้งแรกปี 1995 แต่รวมแล้วเขาติดทีมชาติทั้งหมดเพียง 15 ครั้ง หลังจากที่หลุดจากทีมไปฟุตบอลโลก 2002 โคลประกาศอำลาทีมชาติ ที่เขายิงได้ประตูเดียวนั่นคือรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกที่อังกฤษพบแอลเบเนีย เดือนมีนาคม 2001

       เกล็น ฮอดเดิล เพื่อปกป้องการตัดสินใจของเขาเองที่ไม่ใส่ชื่อโคลไปฟุตบอลโลก 1998 กล่าวหาโคลใช้โอกาสเปลือง ต้องมีโอกาส 6-7 ครั้งถึงจะยิงได้ 1 ประตู ขณะที่การบาดเจ็บก่อนยูโร 2000 ทำให้เขาพลาดอีก 1 ทัวร์นาเมนท์ใหญ่

Last Update : 2015-07-13