สวัสดีครับพี่น้องแฟนผีทุกท่าน จบสุดสัปดาห์แบบเซ็งๆกันไปนะครับสำหรับเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป 0-0 การเสมอกับเพื่อนบ้านน่ารำคาญที่กำลังฟอร์มแกร่งนับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่การเสมอในรูปแบบที่น่าชนะแบบนี้ต้องยอมรับกันไปไม่ว่าเเฟนผีคนไหนๆก็ต้องออกอาการ "เซ็ง" เป็นปกติ
ซิตี้ มาแท็คติกที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนครับ ว่าก็ว่าเถอะหลายปีหลังนี้มาจุดขายของพวกเขาคือเกมบุกยิงให้แหลกแหกด่านกองหลังทุกทีม แต่เกมนี้ เปเยกรินี่ แกสวมวิญญาณรถบัสให้เรือใบ้ซะงั้นมันเลยดูผิดคาดไปนิสสสสสส์
ผ่านมาแล้วผ่านไปครับเก็บเอาแต่บทเรียนมาก็พอ เค้ามาในแท็คติกไหนไม่สำคัญ ... สำคัญที่ว่าเราเองต่างหากที่ไม่สามารถฝ่าด่านอรหันต์เข้าไปพังประตูเพื่อคว้าชัยชนะได้ นั่นคือในส่วนที่เราต้องแก้ไขกันต่อไป
มาถึงหลักใหญ่ใจความของเกมๆนี้กันบ้างครับ ... เป็นอีกครั้งที่เวย์น รูนี่ย์ ตกเป็นเป้าโจมตีและล้อเลียนจากแฟนบอล ซึ่งก็ต้องยอมรับกันจริงๆว่า "วาซซ่า" ต่ำกว่ามาตรฐานมากๆ ไม่ใช่แค่ต่ำกว่ามาตรฐานที่เขาทำมาตลอดชีวิต เกมนี้ฟอร์มของเขาจัดว่าแย่ที่สุดในฤดูกาลนี้ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นปีที่แย่ที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้
เราลองมากางสถิติของกัปตันรูนในเกม แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ดูครับ ... ผ่านบอลสำเร็จ 54% / โอกาสยิง 1 ครั้ง / เข้ากรอบ 0 ครั้ง / สร้างโอกาส 0 ครั้ง / จ่ายบอลจังหวะสำคัญ 0 ครั้ง / เลี้ยงบอลผ่าน 0 ครั้ง
อือหืมมมมมมมมมม ... อะไรจะขนาดนั้นเรียกว่าเป็นสถิติที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากๆ จริงอยู่ที่สถิติอาจไม่สามารถบอกอะไรได้ทั้งหมด แต่เกมนี้ผมคงต้องบอกว่าผมเห็นตามที่สถิติในเกมนี้มันนั่นแหละครับผม
ในวัย 30 ปีเป็นเรื่องเข้าใจได้ว่า ความเร็ว , ความแข็งแกร่ง และ ความคึกคะนอง มันอาจจะลดไปซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของนักฟุตบอลอาชีพไม่ว่าเก่งขนาดไหนก็หนีไม่พ้น แต่สิ่งที่เรายังสามารถหวังจากเขาได้คือมุมมองการเล่น , ประสบการณ์ที่มากขึ้นและความเป็นผู้นำนั่นแหละครับคือสิ่งที่นักเตะซีเนียร์พึงมี
ในช่วงที่ รูนี่ย์ ฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย กลับมีดาวรุ่งวัย 19 ปีอย่างมาร์กซิยาล ที่ฟอร์มสดเหลือหลายจนทำให้ต้องมีเกิดการเปรียบเทียบอย่างเลี่ยงไม่ได้ มันยิ่งทำให้เรื่องของ รูนี่ย์ ยิ่งหดหู่ไปกันใหญ่เมื่อเทียบกับฟอร์มของ มาร์กซิยาล ในตอนนี้
แต่ในความเป็นจริงหากเมียงมองในทีมชุดนี้เราก็ไม่ได้มีตัวเลือกอะไรมากนัก ... รูนี่ย์ , มาร์กซิยาล , วิลสัน คือ 3 กองหน้าที่ทีมมีอยู่ในเวลานี้ ในรายของวิลสันแทบไม่ต้องนับรวมเลยยังได้ และเมื่อบวกกับสถานการณ์ที่ปีกซ้ายอย่าง เมมฟิส กำลังโดนปรับทัศนคติ ส่วน จารย์ยัง ก็ดันมาเจ็บ 3 อาทิตย์ มันเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะจับนักเตะที่มีความคล่องตัวสูงอย่าง มาร์กซิยาล มาเล่นในด้านกว้าง และตำแหน่งที่ว่างคือกองหน้าตัวเป้าตำแหน่งเดียวเท่านั้น
ก็นั่นล่ะครับดังนั้นตำแหน่งกองหน้าคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก รูนี่ย์ ที่ดูแล้วตอบโจทย์นี้มากที่สุด ... เชื่อว่าแฟนๆคงไม่อยากเห็น เฟลไลนี่ ลงมายืนค้ำหน้าเป้าตั้งแต่นาทีแรกของเกมเพราะนั่นจะเป็นบอกแท็คติกของทีมเป็นนัยๆว่า "เกมนี้ข้าโยนเเหลกแน่"
จริงอยู่ที่กัปตันฟอร์มตก และดูพึ่งพาไม่ได้เท่าที่ควร ... แต่เมื่อเราเอาเรื่องนี้มาพูดหลังเกมมันจะพุดอะไรก็ได้ครับ มันไม่เหมือนเรื่องราวก่อนเกมที่การส่งนักเตะลงสนามเปรียบเสมือนการเดิมพันอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ใน 90 นาทีไม่มีใครรู้ สิ่งที่ต้องทำคือเลือกคนที่พร้อมที่สุด ณ เวลานั้น!
ผมเชื่อว่า ฟาน กัล แกเห็นอะไรมาก็เยอะการคุมทีมลงซ้อม 5 วันต่อสัปดาห์ทำให้แกคงรู้ว่าใครพร้อมลง ใครควรนั่ง ... วัดกันตามมารตรฐานก่อนลงสนาม รูนี่ย์ ควรได้ลงแบบเเบเบอร์อยู่เเล้ว อันนี้ผมเห็นด้วยกับ ฟาน กัล เพราะหาก รูนี่ย์ ส่งบอลเข้าประตูไปซักลูกอะไรๆมันคงคลี่คลายและออกมาดูดีกว่านี้เยอะ แต่ก็นั่นแหละครับโลกของฟุตบอลคำว่า "ถ้า" มันเอามาใช้ไม่ได้
แต่เมื่อผลงานมันออกมาตรงกันข้ามกับที่หวังไว้ รูนี่ย์ ก็ไม่ควรจะได้สิทธิพิเศษที่มากจนเกินไป คนอื่นๆควรจะมีโอกาสได้ลงไปทำหน้าที่แทนบ้าง นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น ... ในส่วนของการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ ฟาน กัล หวังว่าการวางเดิมพันในแต่ละนัดของเขาจะถูกต้องและสร้างผลบวกให้กับทีม
เชื่อว่าทุกเสียงบ่นหรือเสียงก่นด่ามันเปลี่ยนกันได้ตามความสำเร็จและชัยชนะของทีม งานนี้เราต้องรอดูกันต่อไปว่า "วาซซ่า" จะดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน และจะเหมาะสมสำหรับตำแหน่ง 11 ตัวจริงของทีมจนกระทั่งจบฤดูกาลหรือไม่ ? นั่นคือเรื่องของอนาคตที่เราต้องติดตามกันต่อไป ... สวัสดีครับ