พูดถึง บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ การมาถึงของเขาในซัมเมอร์นี้ได้รับการจับตามองอย่างมากเพราะดีกรีที่มิดฟิลด์รายนี้หนีบมาด้วยยาวเหยียดชนิดที่ว่าหาตัวจับยาก แน่นอนแฟนบอลแมนฯยูฯอย่างเราๆฮึกเหิมขึ้นมาทันทีกับข่าวการคว้าตัวและคาดหวังไว้แล้วว่าทีเด็ดของห้องเครื่องเยอรมันเมื่อรวมกับมันสมองของกุนซือที่เคยร่วมงานกันมาก่อนอย่าง ฟาน กัล น่าจะพา "ปีศาจแดง" กลับมาประสบความสำเร็จ ทว่าในความเป็นจริงทุกอย่างมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
บาสเตียน ออกสตาร์ทเดือนแรกของพรีเมียร์ลีกด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ดีเท่าไหร่ได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองท้ายเกมซะเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ก็ออกสตาร์ทตัวจริงแต่เล่นไม่ครบ 90 นาที มีเพียงเกมที่พ่าย สวอนซี 1-2 เท่านั้นที่ได้ลงเต็มเกมเป็นนัดแรกแถมผลงานภาพรวมก็ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ฟาน กัล บอกว่าต้องให้เวลาห้องเครื่องเยอรมันปรับตัวรวมถึงเรียกความฟิตซึ่งแฟนบอลก็ไม่มีปัญหาเพราะเข้าใจได้ว่าเพิ่งเปิดฤดูกาล
แม้ว่าในเดือนกันยายนและต้นเดือนตุลาคมผลงานของ "เดอะ เร้ดส์" จะดีและ "บาสติ" ได้รับคำชมว่ามีความนิ่งช่วยเกมรับได้เยอะ ทว่าเมื่อเขาต้องเจอการทดสอบที่เป็นของจริงอย่าง อาร์เซน่อล และแทบจะช่วยอะไรทีมไม่ได้เลยเริ่มทำให้เราเห็นชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของมิดฟิลด์แชมป์โลกได้เสื่อมถอยลงไปแล้ว
ร่างกายของกัปตัน "อินทรีเหล็ก" มีปัญหามาตั้งแต่หลังฟุตบอลโลก 2014 และลากยาวเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ แถมครั้งที่แมนฯยูฯดึงมาร่วมทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังเคยพูดว่า "บาสติ" ไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งแบบเดิมอีกแล้ว ซึ่งเราก็เห็นทุกอย่างด้วยตาตัวเองทั้ง การผ่านบอลที่ช้า, ความเร็วที่ลดลง, จังหวะการตัดบอลที่ไม่เฉียบคมเหมือนเก่ารวมถึงการยิงไกลที่แทบจะไม่เคยเข้ากรอบเลย
ที่สาวก "ผีแดง" เห็นกันไม่ใช่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ คนเดิมที่พวกเราคาดหวังจะได้เห็นกัน ถ้าใครอยากเห็นภาพความต่างชัดๆลองไปหาคลิปนัดชิงบอลโลก 2014 มาดูจะเห็นความต่างของบาสเตียน "ตอนนั้น" กับ "ตอนนี้" ได้ชัดเจนมากเพราะแมตช์นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในเกมที่เขาท็อปฟอร์มที่สุด อย่างไรก็ตามสำหรับผมเชื่อว่าเขายังกลับมาได้ แต่เราอาจต้องให้เวลามากกว่านี้ในการปรับตัวกับฟุตบอลที่รวดเร็วของอังกฤษ ไม่แน่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อท้ายฤดูกาลเราอาจจะได้เห็นมิดฟิลด์แชมป์โลกกลับมาเป็น "คนที่ใช่" แล้วก็ได้