ป้ายว่าง

อาลัย "นักเตะสุภาพบุรุษ" ฟิล โอดอนเนล

redefine 2007-12-31 16:49:39

A PHP Error was encountered

Severity: Notice

Message: Undefined variable: tag_links

Filename: site/news-detail.php

Line Number: 47

อาลัย นักเตะสุภาพบุรุษ ฟิล โอดอนเนล

     ชีวิตของ ฟิล โอดอนเนล เริ่มต้นและจบลงใน เฟอร์ ปาร์ค สนามเหย้าของ มาเธอร์เวลล์ สถานที่ซึ่งเขาสร้างชื่อในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ และให้เขาพึ่งพิงเมื่อเผชิญกับอาการบาดเจ็บที่รุมเร้า ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยวัย 35 ปีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และเป็นสถานที่ๆกองเชียร์ "เดอะ เวลล์" พร้อมใจกันแสดงความเคารพต่อดวงวิญญาณของเขา ณ อัฒจรรย์ฝั่ง เดวี่ย์ คูเปอร์ สแตนด์

     โอดอนเนล และ คูเปอร์ เป็นกำลังสำคัญของ มาเธอร์เวลล์ ชุดที่เอาชนะ ดันดี ยูไนเต็ด 4-3 คว้าแชมป์สก๊อตติช คัพ มาครองได้สำเร็จเมื่อปี 1991 ซึ่งไม่เป็นเพียงเกียรติยศสูงสุดตั้งแต่หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ของสโมสรเท่านั้น แต่ยังถูกจารึกว่าเป็นหนึ่งในนัดชิงชนะเลิศที่น่าประทับใจที่สุดตลอดกาลด้วย และต่างก็จบชีวิตก่อนวัยอันควรเหมือนกัน โดย คูเปอร์  เสียชีวิตด้วยวัย 39 ปี เมื่อปี 1995 ด้วยอาการเลือดคั่งในสมอง ขณะกำลังบันทึกเทปสำหรับสอนนักฟุตบอลเยาวชนของทีม ไคลด์แบงค์ ที่เขากำลังค้าแข้งอยู่ในเวลานั้น และทั้งคู่จะคงอยู่ในฐานะตำนานของแฟนบอลมาเธอร์เวลล์ตลอดไปเช่นกัน

     โอดอนเนล เกิดเมื่อปี 1972 ที่ เบลชิลล์ ตำบลซึ่งตั้งอยู่ห่างจาก มาเธอร์เวลล์ เพียง 2 ไมล์ ได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ของ "เดอะ เวลล์" นัดแรกเมื่ออายุ 17 ปี และมีรายชื่อเป็นหนึ่งในผู้ทำประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศดังกล่าว ซึ่ง ดันดี ยูไนเต็ด คู่ชิงชนะเลิศในวันนั้น ก็เป็นคู่แข่งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงด้วยอาการลมชักเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยวันนั้น มาเธอร์เวลล์ เป็นฝ่ายชนะไปอย่างตื่นเต้นไม่แพ้กับเมื่อ 16 ปีก่อน ด้วยสกอร์ 5-3

     แม้ โอดอนเนล จะประสบความสำเร็จในอาชีพค้าแข้งน้อยกว่าที่หลายๆคนคาดคิดเมื่อครั้งยังเป็นดาวรุ่ง แต่เขาก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเพื่อนร่วมทีมอย่างมากมาย จนได้รับการยกย่องว่าเป็นมืออาชีพ และเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ซึ่งหลังจากการเสียชีวิตของเขา เครก บราวน์ อดีตผู้จัดการทีมชาติสก๊อตแลนด์ กล่าวว่า โอดอนเนล เมื่อครั้งอยู่ในช่วงสูงสุดของอาชีพค้าแข้ง มีสไตล์การเล่นที่คล้ายคลึงกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมลิเวอร์พูล และอาจจะเป็นมิดฟิลด์ห้องเครื่องที่ดีที่สุดในเกาะบริเทนเลยก็ว่าได้

     โอดอนเนล ติดทีมชาติสก๊อตแลนด์ครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อปี 1993 ภายใต้การคุมทีมของ บราวน์ โดยเขาลงสนามเป็นตัวสำรองในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก นัดที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์ หลังจากนั้น 1 ปี เขาก็ย้ายไปค้าแข้งในถิ่น ปาร์ค เฮด ของ กลาสโกว์ เซลติก ทีมโปรดในวัยเด็ก ด้วยค่าตัว 1.7 ล้านปอนด์ ซึ่งยังคงเป็นสถิติค่าตัวสูงสุดที่ มาเธอร์เวลล์ ได้รับจากการขายนักเตะคนเดียวจนถึงทุกวันนี้ แต่อาการบาดเจ็บที่เข้ามารบกวน ทำให้ความหวังของ โอดอนเนล ที่จะติดทีมชาติให้มากขึ้นต้องพังทลายไป

     แม้จะคว้าเกียรติยศสูงสุดในชีวิตด้วยแชมป์ สก๊อตติช พรีเมียร์ลีก ในปี 1998 แต่ โอดอนเนล ก็ไม่สามารถยึดตำแหน่งในทีม "ม้าลายเขียว-ขาว" ได้ เนื่องจากต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บบ่อยเกินไป และปีต่อมา เขาก็ย้ายไปร่วมทีม เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ในพรีเมียร์ชิพ อังกฤษ ซึ่งอาการบาดเจ็บก็ยังคงรุมเร้าอาชีพค้าแข้งของ โอดอนเนล อยู่เช่นเดิม จนทำให้เขาได้ลงเล่นใน พรีเมียร์ชิพ เพียงแค่นัดเดียวในฐานะตัวสำรองเท่านั้น ก่อนที่ "นกเค้าแมว" จะตกชั้นลงสู่ ดิวิชั่น 1 และลงเล่นเพียง 20 นัดใน 4 ปีที่อยู่กับ เว้นส์เดย์ ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวฟรี เนื่องจากทีมตกลงไปเล่นใน ดิวิชั่น 2 เมื่อปี 2003

     หลังจากต้องไร้สโมสรอยู่ 1 ปีเต็ม โอดอนเนล ก็ได้รับโอกาสจาก เทอร์รี่ บุชเชอร์ อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้จัดการทีม มาเธอร์เวลล์ ให้เข้าทดสอบฝีเท้ากับต้นสังกัดดั้งเดิมอีกครั้ง และเซ็นสัญญาร่วมทีมในปี 2004 ซึ่งแม้ว่าอาการบาดเจ็บจะยังคงจำกัดการลงเล่นของเขาให้กับทีม แต่ โอดอนเนล ก็ยังเป็นที่รักของแฟนบอล เดอะ เวลล์ ไม่เสื่อมคลาย

     ภายใต้การทำทีมของ มาร์ค แม็คกี ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน โอดอนเนล ซึ่งเป็นทั้งผู้เล่น,โค้ช และเป็นหัวหน้าทีมมาได้ 18 เดือน พาทีมทำผลงานได้ดีจนกระทั่งมีคะแนนขึ้นไปเป็นอันดับ 3 ในลีกแบบไม่มีใครคาดฝัน โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาเพิ่งจะให้สัมภาษณ์กับ เดอะ ไทม์ส เกี่วกับอนาคตการค้าแข้งว่า "มีนาคมที่จะถึงนี้ ผมจะอายุ 36 ปี ซึ่งทำให้ผมต้องพยายามรักษาสภาพร่างกายเพื่อให้ลงเล่นได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมคิดว่าทุกเกมเป็นสิ่งพิเศษสำหรับผมจริงๆ เพราะผมพลาดการลงเล่นมาหลายนัดแล้วในช่วงกลางอาชีพ แม้ว่านักฟุตบอลส่วนใหญ่จะเลิกเล่นในวัย 35 ปี แต่ผมยังจะเล่นต่อไปจนกว่าจะไม่ไหวจริงๆ ผมเชื่อว่าจะยังลงเล่นได้อีกสามหรือสี่ปีด้วยซ้ำไป"

     ความฝันที่จะลงเล่นจนถึงอายุ 39 ปีของ โอดอนเนล จบลงแล้วเมื่อเขาได้จาก เอลีน ภรรยาและลูกๆอีก 4 คนไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ความทรงจำของแฟนบอลที่มีต่อกัปตันทีมฉายา "น้าฟิล" (ซึ่งได้มาจาก เดวิด คล้าร์กสัน กองหน้าของทีมซึ่งเป็นหลานชายของเขา) จะยังคงอยู่ทั้งในและนอกสโมสร "เดอะ เวลล์" ตลอดไป

Ads



Related Post