อีกไม่กี่อึดใจ เราก็จะรู้ว่า สโมสรใดจะครองจ้าวยุโรป ในปีนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ที่แน่ ๆ ก็คือ ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะต้องไปสิงสถิติอยู่บนเกาะอังกฤษ แน่นอน เพราะคู่ชิงชนะเลิศ ปีนี้ ได้แก่ 2 มหาอำนาจลูกหนังของศึกพรีเมียร์ชิพ นั่นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อดีตแชมป์ 2 สมัย และ เชลซี ราชาไร้บัลลังก์ จ้าวยุโรป ซึ่งผ่านเข้าชิงฯ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ก่อนเริ่มเกม ผู้สันทัดกรณีหลายฝ่าย ต่างการให้ทัศนะ ไปต่างๆ นานา ว่า ทีมใด มีโอกาสที่จะซิวแชมป์ดังกล่าวครองมากกว่า กัน ทั้งการเทียบถึงศักยภาพของขุมกำลัง, ประสบการณ์ของผู้เล่นและผู้จัดการทีม รวมถึง สถิติการพบกันที่ผ่านมา ว่าใครมีภาษีเหนือกว่ากัน
ไม่ว่าอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคตที่เหนือการคาดเดาได้ แต่โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่า เหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ ก็มีหลายจุดที่น่าจะนำไปเชื่อมโยงถึงเค้าหน้าของทีมแชมป์รายการ นี้ได้ไม่มากก็น้อยเช่นักน ซึ่งสามารถอธิบายข้อสังเกตดังกล่าว ได้หลายประการ ดังต่อไปนี้
ข้อสังเกตประการแรก ก็คือ
คู่ชิงในเกมนี้ มีความเกี่ยวข้องกันระหว่าง 2 ประเทศ มหาอำนาจอย่าง อังกฤษ และ รัสเซีย
บอลถ้วยยุโรปปีนี้ มีความเกี่ยวพันระหว่าง 2 ประเทศ นั่นคือ อังกฤษ และ รัสเซีย โดยในเกมถ้วยลงของยุโรป อย่าง ยูฟ่า คัพ ก็เป็นการแข่งขันระหว่าง เซนิต เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก ทีมดังสัญชาติรัสเซีย และ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ยอดทีมจากลีกสกอตแลนด์ หนึ่งในประเทศ สหราชอาณาจักร ซึ่งมี อังกฤษ เป็นพ่อใหญ่อยู่ และที่สำคัญ สังเวียนแข่งชิงดำในครั้งนี้ ถูกกำหนดให้มาจัดบนแผ่นดินผู้ดี ที่ สนาม ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม ของทีม "เรือใบ" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสียอีก
ลองมาดูทางเกมถ้วยใหญ่สุดของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กันบ้าง ก็ยังหลีกหนีไม่พ้นกับ 2 ประเทศ ที่กล่าวมา นั่นก็คือ ทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ต่างก็เป็น 2 สโมสรยักษ์ใหญ่จาก เกาะผู้ดี ส่วนที่เกี่ยวกับ รัสเซีย ก็คือ ทางฝั่งทีม "สิงห์บูลส์" ดันมี เจ้าของสโมสร เป็น รัสเซีย อย่าง โรมัน อับราโมวิช นั่นเอง ก็เลยกลายเป็น ศึกสายเลือด ระหว่าง อังกฤษ กับ รัสเซีย ไปอีก 1 คู่ ในปีนี้
ขณะที่ สังเวียนแข้งที่จัดรอบชิงชนะเลิศ ในปีนี้ แม้จะไม่ได้จัดในอังกฤษ เหมือน ยูฟ่า คัพ แต่ก็น่าแปลก ที่ดันไปจัดสลับกันในถิ่น หมีขาว ณ สนาม ลุซนิกี้ สเตเดี้ยม แทนที่ จะไปจัดยังสนามอื่นๆ ทั่ว ยุโรป ซึ่งก็มีมากมายให้เลือกสรร
นั่นไง เป๊ะ เลย เริ่ม เข้าเค้า แล้ว ...
มาดูข้อสังเกตประการที่สอง กันต่อ ดีกว่า
ทีมแชมป์แต่ละลีกใหญ่ๆ ของยุโรป มีลุ้นคว้า ดับเบิ้ลแชมป์ กันถ้วนหน้า โดยมี บาเยิร์น มิวนิค ทำได้ก่อนใครเพื่อน
จะเห็นได้ว่า สโมสรในลีกใหญ่ๆ ของยุโรป ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ, อิตาลี, เยอรมัน และ ฝรั่งเศส (ยกเว้น สเปน) ต่างก็จบฤดูกาลด้วย ดับเบิ้ลแชมป์ หรือไม่ ก็มี กำลังมีลุ้นคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ดูได้จาก เมืองเบียร์ เป็นลีกแรก โดย "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค ก็คว้าทั้งแชมป์ บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล มาครองได้อย่างไร้คู่แข่ง
ขณะที่ ในลีกแดนมักกะโรนี "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน ก็ซิวแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ไปนอนกอดสมใจ ก่อนที่จะมีคิวลงเตะถ้วย โคปปา อิตาเลีย กับ โรม่า อีกครั้ง เช่นเดียวกับ ลีกแดนน้ำหอม ที่ ลียง ก็ครองแชมป์ ลีกเอิง ไปเป็นสมัยที่ 7 ติดต่อกัน และก็กำลังมีโปรแกรมลงหวดในบอลถ้วย เฟร้นช์ คัพ กับ เปแอชเช อีกด้วย
สถานการณ์ดังกล่าว ก็เลยทำให้ ดูแล้ว เข้าเค้ากับทางแชมป์ลีกจากเกาะผู้ดี อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งได้แชมป์ พรีเมียร์ชิพ ไปแล้ว และก็กำลังจะเดินหน้าไล่ล่าดับเบิ้ลแชมป์ให้ได้ อย่างที่ บาเยิร์น มิวนิค ทำได้เป็นต้นแบบไปก่อนหน้านี้แล้ว และถ้า ทีม "ปีศาจแดง" ทำได้จริงๆ ก็ขอฟันธงเลยว่า ทั้ง อินเตอร์ และ ลียง ก็มีโอกาส จบซีซั่น ด้วย ดับเบิ้ลแชมป์ ด้วยเช่นกัน เอาซิ... ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
มาถึงข้อสังเกตประการที่ 3 ซึ่งเป็นข้อสุดท้าย
ก็เกี่ยวกับกับการที่ แชมป์ ยูฟ่า คัพ เป็นผลงานความยอดเยี่ยมของ เซนิตฯ ทีมแชมป์แห่งลีกรัสเซีย ที่บุกมาครองแชมป์ ได้คาถิ่น บ้านพี่เมืองน้องของ สกอตแลนด์ อย่าง อังกฤษ
ส่วน แมนฯ ยูฯ หรือ เชลซี แม้จะเป็นทีมจาก พรีเมียร์ชิพ เหมือนกัน แต่หากมองจากเหตุผลข้างต้นที่ จัดให้ ทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" เป็นซับเซตของ ทีมสัญชาติรัสเซีย อีกที เพราะ เป็นบ้านเกิดของเจ้าของสโมสร ก็จะคล้ายคลึงกับในกรณีของ เกม ยูฟ่า คัพ ซึ่งนั่นก็อาจหมายความว่า เชลซี เป็นทีมจากรัสเซีย และก็อาจคว้าแชมป์ใบนี้ไปครอง
แต่เดี๋ยวก่อน ! เพราะมันมีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างกัน อีตรงที่ เซนิตฯ ไม่ได้คว้าแชมป์ ที่บ้านเกิดของพวกเขาซักกะหน่อย แต่ดันทะลึ่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาสัมผัสแชมป์ถึงอังกฤษ
ฉันใดก็ฉันนั้น เชลซี ก็อาจหมดสิทธิ์คว้าแชมป์ในแผ่นดินแม่ของ "เสี่ยหมี" เพราะแหกกฏที่วางไว้ ในทางตรงกันข้าม ก็อาจจะเป็น "ผีแดง" ที่จะกัปตาลปัตร สวมบทพระเอก แบบ เซนิตฯ ด้วยการบุกไปคว้าแชมป์นอกบ้านของพวกเขา ที่ประเทศ รัสเซีย แทน
และปล่อยให้ ลูกทีมของอัฟราม แกรนท์ ต้องรับบทผู้ร้ายตายตอนจบ เหมือน เรนเจอร์ส ที่แม้จะได้เปรียบจากสภาพแวดล้อมจาก สนาม ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ ในอังกฤษ ซึ่งคล้ายคลึง สกอตแลนด์ ถิ่นฐานของพวกเขา มากมายมหาศาล แต่ก็มิได้นำพาให้ พวกเขา สามารถฉกฉวยความได้เปรียบดังกล่าว จนกลายเป็นผู้ที่ต้องแพ้พ่ายไปในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดา บนฐานความเชื่อชุดหนึ่ง ที่จับมาโยงใย ให้มันเกี่ยวข้องกันจนได้เรื่อง เท่านั้น สิ่งเดียว ที่จะพิสูจน์ว่าทีมใดจะเป็นแชมป์ให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งมากกว่าบรรดาหมอดูหมอเดาทั้งหลาย ก็คือ ผลสรุปของเกมการแข่งขันในวันพุธที่ 21 พ.ค.นี้ เวลา 01.45 น. นั่นเอง.....
A PHP Error was encountered
Severity: Notice
Message: Undefined variable: tag_links
Filename: site/news-detail.php
Line Number: 47