ป้ายว่าง

6 ที่สุดคู่จิกกัดแห่งวงการลูกหนัง

madamred 2008-11-30 17:06:41

A PHP Error was encountered

Severity: Notice

Message: Undefined variable: tag_links

Filename: site/news-detail.php

Line Number: 47

6 ที่สุดคู่จิกกัดแห่งวงการลูกหนัง

6 คู่จิกกัดแห่งวงการลูกหนัง

สืบเนื่องจากกรณีที่ เทอร์รี่ บุชเชอร์ อดีตกองหลังกัปตันทีมชาติอังกฤษ ออกมาแสดงอาการแค้นฝังหุ่น ดีเอโก้ มาราโดน่า อดีตดาวยิงระดับตำนานของทีมชาติอาร์เจนติน่า ซึ่งปัจจุบัน เป็นโค้ชทีมบ้านเกิด ก่อนเกมกระชับมิตร ระหว่า สกอตแลนด์ ที่บูชเชอร์ เป็นผู้ช่วยโค้ชอยู่ตอนนี้ กับ อาร์เจนติน่า เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ถึงเรื่องราวในอดีตที่ยังฝังใจเกี่ยวกับ "หัตถ์พระเจ้า" ของมาราโดน่า จนเป็นสงครามน้ำลายเล็กๆ ตามสื่อต่างๆ ทำให้ ทีม "ล้มโต๊ะ" จึงขอรวบรวบ เหล่าคู่กัดคู่แค้นในวงการลูกหนัง ที่ดุเดือดมากที่สุด 6 อันดับ แรก มาเสนอให้ท่านผู้อ่าน ได้อ่านรำลึกความหลังกัน

Diego Maradona v Terry Butcher

ต้องบอกว่า "ขิงก็ร่า ข่าก็แรง" จริงๆ สำหรับ ดีเอโก้ มาราโดน่า ยอดดาวยิงระดับนานของ อาร์เจนติน่า กับ เทอร์รี่ บุทเชอร์ ปราการหลังระดับนานของ อังกฤษ ที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีทีท่าลดราวาศอกกันเลยสักนิด หลังจากประเด็น "หัตถ์พระเจ้า" ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ถูกจุดชนวนขึ้นอีกครั้ง จากปลายลิ้นของ บุทเชอร์ ก่อนเกมกระชับมิตรระหว่าง ทัพ "ฟ้า-ขาว" กับ สกอตแลนด์ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน

บุทเชอร์ ซึ่งเป็นกองหลังในทีมชุดนั้น และปัจจุบันเป็นผู้ช่วยโค้ชให้กับขุนพล "ตาร์ตัน" เผยถึงเหตุการณ์เมื่อ 22 ปีที่แล้วว่า "ผมไม่มีวันยกโทษให้เขาแน่นอน มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เราแพ้ในเกมที่มีเหตุการณ์เช่นนั้น เพราะในปีนั้นมันเป็นโอกาสทองของเราที่จะคว้าแชมป์โลกมาครองอีกครั้ง"

เมื่อคำพูดแบบนี้ไปถึงหูโจทก์โดยตรงอย่าง มาราโดว่า ก็ดูเหมือนกว่า เกมกระชับมิตร ก็เริ่มจะไม่กระชับมิตรเสียแล้ว เพราะ อดีตกัปตันทัพ "ฟ้า-ขาว" ชุดแชมป์เวิลด์ คัพ 1986 ก็ตอบโต้ทันควันทันทีเช่นกันว่า " ผมไม่จำเป็นต้องไปหาเขา ผมไม่รู้ว่าทำไม บุทเชอร์ ถึงมีทัศนคติแบบนี้ ถ้าผู้คนดีกับผม ผมก็พร้อมที่จะทักทายพวกเขา ผมไม่เข้าใจว่าทำไม บุทเชอร์ ถึงเป็นคนแบบนี้ แต่ก็ปล่อยให้เขาอยู่กับชีวิตของเขาไปเหอะ ส่วนผมก็จะอยู่กับชีวิตของผม"

"ผมไม่เสียดายจนนอนไม่หลับหรอกถ้าเขาไม่จับมือผม ผมก็ยังคงต้องมีชีวิตอยู่ในวันพรุ่งนี้ต่อไป อังกฤษได้แชมป์ฟุตบอลโลกกับประตูที่เห็นด้วยตาเปล่าว่ามันไม่ข้ามเส้นดังนั้นผมไม่คิดว่าพวกเขามีสิทธิ์มาตัดสินอะไรผมหรอกนะ พวกเขาไม่มีภาพรีเพลย์ในปี 1966? มันจะยิ่งเห็นชัดว่าไม่ข้ามเส้นเข้าไปอีก" เจ้าของฉายา "เสือเตี้ย" จิกกัดบ้าง

-------------

Arsene Wenger v Sir Alex Ferguson

กล่าวได้ว่า มร.เวนเกอร์ กับ มร.เฟอร์กูสัน ดูจะเป็นสองยอดกุนซือฝีมือดีในเกาะอังกฤษ ที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์มากที่สุด ทั้งเกมในสนามและนอกสนาม ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยยุคที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังเรืองอำนาจสุดขีดในทศวรรษที่ 90 การมาถึงของกุนซือชาวน้ำหอมในถิ่น ไฮบิวรี่ ในปี 1996 ก็ทำให้ ทีม "ปีศาจแดง" ได้ค้นพบว่า ศัตรูที่น่ากลัวที่จะแย่งบัลลังก์แชมป์ลีกซึ่งพวกเขาเขาผูกขาดมาเกือบตลอด ได้เกิดขึ้นแล้ว

ยูไนเต็ด กวาดแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ถึง 4 ครั้ง จาก 5 ฤดูกาล ตั้งแต่ปี 1992 ถึง ปี 1997 โดยมีเพียง แบล็คเบิร์น ที่สอดแทรกแย่งถ้วยไปจากพวกเขาเพียงฤดูกาลเดียว ขณะที่ทีมอื่นๆ อย่าง เชลซี, ลิเวอร์พูล ก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุดความยิ่งใหญ่ของ ยูไนเต็ด ได้ และก็เป็น เวนเกอร์ ผู้นี้ ที่ตั้งตนขอเป็นคู่แข่งเบอร์ 1 ของ เซอร์ อเล็กซ์ ตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา

และในที่สุด อาร์เซน่อล ซึ่งไม่เคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมานานกว่า 7 ปี ก็ได้สัมผัสบรรยาการแห่งความยินดีปรีดาอีกครั้ง ในฤดูกาล 1997-98 และเท่ากับเป็นการตอกหน้าเจ้าพ่อแห่งวงการลูกหนังเมืองผู้ดีอย่าง เฟอร์กี้ อย่างแรง แต่ในทางกลับกัน มันก็เป็นการประกาศให้ลีกพรีเมียร์ชิพ ได้รู้จักผู้จัดการทีมโนเนม อย่าง เวนเกอร์ ได้เป็นอย่างดี เช่นกัน

นับจากนั้นเป็นต้นมา ศึกแย่งชิงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ หรือ "The Battle of the Buffet" ระหว่างทั้งคู่ก็ได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการทั้งในและนอกสนาม แต่ที่ดูจะดุเดือดที่สุด ก็คงจะเป็นในเดือน ธ.ค. 2002 ศึกการขับเคี่ยวครองความเป็นจ้าวลูกหนังเมืองผู้ดี ซึ่ง มีเพียง แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล เท่านั้น ที่เบียดกันอย่างสูสี ทิ้งห่างทีมอื่นๆ อย่างไม่เห็นฝุ่น

แต่สงครามน้ำลายระหว่าง เฟอร์กี้ กับ เวนเกอร์ ก็ดูลดดีกรีความดุเดือด ลงไป แถมยังคล้ายๆ ว่า ทั้งสองจะพักรบชั่วคราว พร้อมกับหันหน้ามาจับมือเป็นพวกด้วยกัน โดยมีศัตรูหมายเลข 1 คนเดียวกัน คือ โฆเซ่ มูรินโญ่ กุนซือชาวโปรตุเกส ที่มาถึงเกาะอังกฤษ เมื่อปี 2006 ก็ได้เรื่องทันที ด้วยการขโมยถ้วยพรีเมียร์ที่ทั้ง ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล ผลัดกันถือมาโดยตลอด ให้มาอยู่ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้สำเร็จ ถึง 2 สมัยติดต่อกัน ในฤดูกาล 2004-2005 และ 2005-2006

----------

Roy Keane v Alf Inge Haaland

ภาพของ อัลฟ์ อิงเก้ ฮาแลนด์ มิดฟิลด์ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดิ้นไปนอนกับพื้นสนาม ด้วยความเจ็บปวดทุรนทุราย เมื่อ 7 ปี ก่อน หลังจากโดนอุ้งสตั๊ดมรณะของ รอย คีน อดีตกัปตันทีมฮาร์ทแมนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะยังอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลหลายคนๆ คนได้เป็นอย่างดี

บรรยากาศใน สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โรงละครแห่งความฝัน ของแฟนบอล "เร้ดเดวิลส์" ทุกคน แต่ช่วงเวลานั้น อาจดูเหมือนเป็น โรงละครแห่งความฝันร้ายของ ฮาแลนด์ ไปตราบชั่วชีวิต หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนทำให้ขาหักออกเป็นสองท่อนแบบไม่มีชิ้นดี ก่อนที่ เขาต้องปิดฉากชีวิตค้าแข้งของตัวเอง ไปในที่สุด

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่เป็น 1 ในเหตุการณ์ที่สยดสยองที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นในวงการลูกหนังอังกฤษ และมันก็ทำให้ ความสัมพันธ์ของคู่กรณีทั้งสอง ขาดสะบั้นเหมือนดั่งเส้นเอ็นกล้ามเนื้อของขา ฮาแลนด์ ก็ไม่ปาน และไม่แปลกเลยที่ หลังจากนั้น ดาวเตะนอร์วีเจี้ยน จะเดินหน้าเอาเรื่อง ไปฟ้องร้องศาลเมืองผู้ดีว่า คีน เป็นต้นเหตุให้เค้าต้องแขวนสตั๊ดก่อนวัยอันสมควรอย่างไม่คิดจะญาติดี

ขณะเดียวกัน กฏหมาย ก็ไม่ได้ปล่อยให้ "คีโน่" ลอยนวลแต่อย่างใด หลังจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ สั่งแบนเขาเป็นเวลา 3 นัด พร้อมกับ ปรับเงินอีก 150,000 ปอนด์ (ประมาณ 9 ล้านบาท) แต่ดูเหมือนว่า กองกลางชาวไอริช จะไม่สำนึกอะไร แถมยังออกมาสารภาพผ่านหนังสืออัตชีวประวัติของตนเองว่า เจตนาเข้าเสียบฮาแลนด์อย่างตั้งใจและไตร่ตรองมาก่อนเพื่อเป็นการล้างแค้นส่วนตัว ที่เขาโดน ฮาแลนด์ เสียบจนเจ็บ เมื่อ 4 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น คีน ก็ออกมาประกาศยกเลิกสัญญากับ แมนฯยูไนเต็ด พร้อมย้ายจากถิ่น โอลด์แทร็ฟฟอร์ด แต่นั่นก็ไม่ทำให้ ฮาแลนด์ ยอมอโหสิเช่นกัน โดยเผยว่า "คีโน่" คือ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา "ผมไม่สนใจ คีน ที่ทำให้ชีวิตค้าแข้งของผมต้องสิ้นสุดลง และผมจะไม่พยายามคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แน่นอนว่าชื่อของเขาจะทำให้ผมนึกถึงทุกสิ่งที่เลวร้าย"

-------------------------

Romario v Luiz Felipe Scolari

หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ย้ายสำมะโนครัวมาถึงเกาะอังกฤษ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา พร้อมกับกิตติศัพท์อันเลืองชื่อในความเป็นกุนซือสุดเฮี้ยบ จนทำให้บรรดานักเตะหรือสต๊าฟฟ์โค้ชหลายต่อหลายคน ออกอาการไม่ปลื้มๆ ไปตามๆ กัน

และคนที่จำได้ดีถึงความเฮี้ยบของ "บิ๊กฟิล" ก็คงหนีไม่พ้น โรมาริโอ อดีตดาวเตะระดับตำนานของบราซิล ที่ สโคลารี่ เรียกตัวมาให้กับทีมชาติในนัดพบกับ ปารากวัย ซึ่งเป็นนัดแรกที่เขาคุมทีม แต่ปรากฎว่า ศูนย์หน้าร่างเล็ก ออกไปเที่ยวตอนกลางคืนก่อนที่เกมนัดดังกล่าวจะเตะ จนทำให้ฟอร์มการเล่นไม่ดีและแพ้ไป 0-1

หลังจากนั้น สโคลารี่ ก็เริ่มเผยตัวตนที่แท้จริงถึงความเจ้าระเบียบของตัวเอง ด้วยการ "เชือดไก่ให้ลิงดู" โดยการไม่เคยเรียกตัว โรมาริโอ มาติดทีมอีกเลย แม้แต่ในช่วงก่อนทัวร์นาเมนท์ฟุตบอลโลกปี 2002 ที่บรรดากองหน้าของบราซิลเช่น โรนัลโด้ หรือ ริวัลโด้ ที่ฟอร์มตกและได้รับบาดเจ็บ โรมาริโอ ก็ยังไม่ถูกเรียกติดทีมอยู่ดี ท่ามกลางเสียงปรามารถว่าทีมชุดนี้ ไม่มีทางประสบความสำเร็จในทัวร์นาเม้นต์นี้ได้อย่างแน่นอน

อูลเลอร์ อดีตศูนย์หน้าของทีม พัลไมรัส ซึ่ง สโคลารี พาทีมประสบความสำเร็จระดับทวีปด้วยการคว้าแชมป์ โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส ออกมาพูดถึงนายเก่าว่า "เขายอมที่จะขัดใจคนทั้งประเทศเพื่อที่จะไม่เลือก โรมาริโอ มาติดทีม"

อย่างไรก็ตาม ในที่สุด สโคลารี่ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า แนวทางของเขายังคงถูกต้องเสมอ หลังจากพาขุนพล "เซเลเซา" ก้าวขึ้นมาครองแชมป์โลกสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ พร้อมกับทำให้ บราซิล เป็นชาติที่ได้ชูถ้วยฟุตบอลโลก มากที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่เริ่มมีการจัดการแข่งขันมากอีกด้วย

 -----------------

Andy Cole v Teddy Sheringham

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจพอสมควร ที่คู่กัดคู่นี้ คือ เพื่อนร่วมทีมเดียวกันในสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงสมัยที่ครองจ้าวความยิ่งใหญ่ในเกาะอังกฤษแบบผูกขาด เมื่อราวๆ ทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา

แอนดี้ โคล กองหน้าผิวสี บรรพบุรษฉายา "ดาวยิงสากกะเบือ" กับ เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม ยอดศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษ ถือเป็นสองหัวหอกฝีเท้าระดับพระกาฬสุดๆ ของพรีเมียร์ลีกยุคนั้น ทั้งคู่ ต่างผนึกกำลังช่วยให้ "ปีศาจแดง" คว้าถ้วยรางวัล ติดไม้ติดมือ มาประดับตู้โชว์โรงละครแห่งความฝันได้อย่างแทบจะทุกปี

แต่ใครจะเชื่อละว่า ภายใต้เปลือกนอกที่ชื่นมื่นในความสำเร็จของ ขุนพล "เร้ดเดวิลส์" สองยอดกองหน้าของทีม จะตกอยู่ในห้วงบรรยากาศที่มองหน้ากันไม่ติด หลังเกิดชนวนเหตุที่ "น้าเท็ดดี้" ไปต่อว่าต่อขาน โคล ว่ามีส่วนทำให้ ทีมต้องเสียประตูแบบไม่น่าเสีย ในเกมพรีเมียร์ที่พบกับ โบลตัน เมื่อฤดูกาล 1997-1998

หลังจากนั้น ทั้งคู่ ปฏิเสธที่จะสนทนาพาทีกันอย่างสิ้นเชิง ตลอดช่วงเวลาที่ค้าแข้งให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่นั่นก็คงเป็นแค่เฉพาะชีวิตนอกสนาม เพราะเมื่อทั้งสองได้รับหน้าที่ให้ลงเล่นร่วมกัน ทั้งโคล และ เชอริงแฮม ก็มีความเป็นมืออาชีพที่จะประสานงานกันแบบไม่กั๊ก

จนปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้งคู่ เป็นส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้ "ปีศาจแดง" สามารถผงาดคว้า "ทริปเปิลแชมป์" มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ในฤดูกาล 1998-1999 ด้วยลูกยิงสุดช็อก จากปลายสตั๊ดของ เชอร์ริงแฮม ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งช่วยให้ทีม พลิกเฉือนชนะ บาเยิร์น มิวนิค ไปได้ 2-1 ที่ สนามคัมป์ นู ประเทศ สเปน

------------

Ian Wright v Peter Schmeichel

ไม่รู้ว่า เพราะเหม็นหน้าส่วนตัว หรือ เกมมันพาไป สำหรับ ความบาดหมางไม่ลงรอยกันระหว่าง เอียน ไรท์ อดีตยอดดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ของ อาร์เซน่อล กับ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล อดีตโคตรผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์ก ของ แมนเชเตอร์ ยูไนเต็ด

แต่ดูๆ แล้ว ด้วยความที่เป็นนักเตะเลือดนักสู้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ เมื่อทั้งคู่ได้โอกาสเผชิญหน้ากันเมื่อไหร่ ก็มักจะปะทะแข้งกันอย่างถึงพริกถึงขิงกันโดยตลอด โดยที่มีศักดิ์ศรีความยิ่งใหญ่ของสโมสรต้นสังกัด เป็นตัวเร้าอยู่เบื้องหลัง

เหตุการณ์ดุเดือดที่หลายคนยังพอจำกันได้ ก็คือ กรณีที่ ไรท์ บรรจงพุ่งเสียบสองเท้า ใส่ ชไมเคิ่ล อย่างไม่กั๊ก ในเกมพรีเมียร์ลีก ที่สนาม ไฮบิวรี่ เมื่อ ก.พ.ปี 1997 โดยที่ ผู้ตัดสินก็ปล่อยให้เกมดำเนินต่อไป แถมยังไม่มีของชำร่วยอะไรให้ ไรท์ เลยซักนิด 

และถ้าหากลองมองย้อนไปเมื่อ พ.ย.ปี 1996 ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ดูเหมือนว่า ชนวนเหตุที่เกิดขึ้น ณ สนามไฮบิวรี่ นั้น ก็น่าจะเกิดจากการที่ ชไมเคิ่ล ตกเป็นข่าวว่า ได้ไปพูดจาเสียดสีเหยียดผิวใส่ อดีตดาวยิงของ "เดอะกันเนอร์ส" ก่อน จนทำให้ ไรท์ หมายมั่นปั้นมือมาชำระแค้นในเกมที่ ไฮบิวรี่ โดยเฉพาะ นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม หลังจากทั้งคู่ หันหลังให้กับการเล่นฟุตบอลอาชีพ และได้โอกาสมาเป็นผู้บรรยายกีฬาร่วมกัน ก็ดูเหมือนว่า ทั้ง ไรท์ และ ชไมเคิ่ล จะกลายสถานะไปเป็นคู่หูต่างสีผิวที่ซี้ย้ำปึ้ก คู่หนึ่งบนเกาะอังกฤษไปแล้วในตอนนี้

-------------

Ads



Related Post