ป้ายว่าง

สกุ๊ปพิเศษ : "30 เกมกับสมดุลที่ หลุยส์ ฟาน กัล ตามหา"

lnwyok69 2015-03-24 14:48:21 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
สกุ๊ปพิเศษ : 30 เกมกับสมดุลที่ หลุยส์ ฟาน กัล ตามหา


      สวัสดีครับผม ช่างเป็นสัปดาห์ที่สดชื่นเเจ่มใสจริงๆนะครับสำหรับแฟนผีทุกคน หลังจากที่ทีมรักของเรานั้นบุกไปสอนบอลศัตรูที่รักอย่างลิเวอร์พูลถึงแอนฟิลด์ 2-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ชัยชนะดังกล่าวส่งให้ ปีศาจเเดง ทิ้ง หงส์เเดง ไปไกลเป็น 5 คะแนนเเล้ว นั่นเท่ากับว่าโอกาสการคว้าท๊อปโฟร์เริ่มเปิดกว้างขึ้นทุกที

 

 

      แต่ทว่าในความเเน่นอนย่อมมีความไม่แน่นอนซ่อนอยู่ ยูไนเต็ด ยังมีโปรเเกรมหนักๆอีกหลายเกมอาทิเช่น เกมเยือนเชลซี , เหย้ากับอาร์เซน่อล , เปิดรังพบแมนฯ ซิตี้ เท่านั้นยังไม่พอยังมีอีก 2 เกมเยือนที่น่าเป็นห่วงกับ เอฟเวอร์ตัน และ คริสตัล พาเลซ อีกต่างหาก

      ก็ตามที่ได้กล่าวไปแหละครับอะไรมันก็ยังไม่แน่ไม่นอนในตอนนี้ และยังมีอีก 1 สิ่งที่สมควรยินดีนอกจากชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลนั่นคือการหา 11 ตัวจริงที่ลงตัวของหลุยส์ ฟาน กัล ได้เสียทีหลังจากุนซือชาวดัตช์ใช้เวลาปรับจูนทีมมาถึง 30 เกม!

      เรียกว่านานพอสมควรเลยนะครับสำหรับการปรับจูนให้เข้าที่ โดยส่วนตัวผมคิดว่า ฟาน กัล เริ่มที่จะจับทางได้ตั้งแต่เกมกับ ซันเดอร์แลนด์ แล้วล่ะสำหรับระบบที่ลงตัวนั่นคือ 4-2-3-1 แต่ในช่วงแรกๆเขายังคงฝืนใช้รูนี่ย์ในตำแหน่งกองกลางอยู่จึงเสียโควต้ากองกลางไป 1 คน แต่เมื่อได้จากหวะที่ ฟาน เพอร์ซี่ ได้รับบาดเจ็บจึงเป็นโอกาสดีที่ ฟาน กัล ดันรูนี่ย์ กลับไปเล่นกองหน้าและส่งเอร์เรร่ามาเล่นในตำแหน่งมันสมองของมิดฟิลด์เมื่อนั้นเองแหละครับที่ความสมดุลที่กุนซือชาวดัตช์ถามหาเกิดขึ้นกับปีศาจเเดงแบบเต็มๆ

      2-3 เกมหลังที่ เอร์เรร่า คาร์ริค และ เฟลไลนี่ ได้ลงสนามพร้อมกันเห็นได้ชัดว่าการครองเกมของยูไนเต็ดไม่เป็นรองคู่แข่งเลยโดยเฉพาะในเกมกับ สเปอร์ส และ ลิเวอร์พูล ที่ลูกทีมของฟาน กัล ครองบอลมากว่า 60% เลยทีเดียว

 

 

      ทั้ง 3 คนเเบ่งหน้าที่กันได้อย่างลงตัวทำให้แก้ปัญหาแดนกลางได้เสียทีหลังจากลองผิดลองถูกมานาน คาร์ริค ไร้ที่ติในการับหน้าที่ตัวคุมจังหวะของเกม การดึงเกมช้า-เร็ว เป็นจุดแข็งของเขามานานเเล้ว และการที่เขายืนอยู่หลังสุดสำหรับตำแหน่งกองกลางยังช่วยเรื่องการตัดบอลจากแนวรุกคู่ต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยม

 

 

      อันเดร์ เอร์เรร่า เป็นเหมือนคนที่ได้เกิดใหม่การที่ฟาน กัล ส่งเขาลงสนามเป็นตัวจริงทำให้ทีมมีมิติในการบุกเพิ่มขึ้นอีกบาน หน้าที่การเคลื่อนบอลเพือหาช่องต้องยกให้เขาจริงๆในนาทีนี้ อีกทั้งด้านความขยันในการไล่บอลก็ช่วยลดภาระการตัดเกมของคาร์ริคไปเยอะเลยทีเดียว

 

 

      ขณะที่ มารูยาน เฟลไลนี่ ที่แสดงให้เห็นเเล้วว่าไม่ใช่ลูกโหม่งเท่านั้นที่เขาเล่นได้ ความดุดันในการเข้าปะทะ และการเล่นบอลง่ายๆไม่มีหวงทำให้เกมไหลไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง อีกหนึ่งทีเด็ดจากพี่ฟูนั่นคือการทำประตูซึ่งเขาก็ได้แสดงให้เห็นมาเเล้วหลายครั้งในฤดูกาลนี้

      นอกจากแผงมิดฟิลด์ที่เริ่มจะลงตัวเเล้ว ในตำแหน่งแนวรุกที่ ฟาน กัล เองก็ใช้มาหลายระบบก็เริ่มจะเข้าที่เมื่อของเก่าอย่าง แอชลี่ย์ ยัง และ ฆวน มาต้า ถูกนำมาปักฝุ่นเเละยัดเเท็คติกพาส แอนด์ มูฟ เข้าไปทำให้เกมรุกดูไม่ตันคิดอะไรไม่ออกก็โยนโหม่งแบบที่เคยเป็น

 

 

      ต้องชื่นชมทั้ง มาต้า และ ยัง นะครับที่ไม่ท้อแท้ทั้งที่ตอนแรกแทบจะหมดอนาคตกันไปแล้วโดยเฉพาะมาต้าที่กลับมาฟอร์มกระฉูดเหมือนสมัยที่อยู่กับเชลซีได้ในที่สุด เขาก้าวขึ้นมารับบทปีกขวาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะยามที่เคาะหาช่องกับ อันเดร์ และ วาเลนเซีย ทางฝั่งขวาบอกเลยว่าเพลินตาและมีประสิทธิภาพจริงๆ

 

 

      แอชลี่ย์ ยัง เป็นอีกคนที่พิสูจน์ตัวเองสำเร็จ แม้ว่าในเเง่ความสามารถและทักษะอาจจะมีไม่เท่า ดิ มาเรีย แต่ต้องยอมรับว่าเมื่อ ยัง ได้ลงสนามเขามีความเข้าใจกับเพื่อนร่วมทีมมากกว่า "ด๊อบบี้" อย่างเห็นได้ชัด และนักเตะที่ไม่หวือหวาแต่ทำตามแท็คติกของกุนซือแบบนี้ก็คงถูกใจ ฟาน กัล ไม่ใช่น้อย

      เรียกได้ว่าทั้ง 5 คนที่กล่าวว่าคือคนที่สร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นได้ในที่สุด และต้องยอมรับว่ากว่าจะหาเจอก็เกือบจะช้าเกินไปเสียเเล้วเมื่อเหลืออีกเพียง 8 เกมให้ลงเเข่งขันเท่านั้นในฤดูกาลนี้ ... ซึ่งหากมองกลับกันตราบใดที่ยังไม่จบฤดูกาลก็ยังคงต้องสู้กันอย่างเต็มที่ต่อไป

 

 

      เชื่อว่านาทีนี้แฟนๆของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงจะอุ่นใจมากขึ้นกว่าเดิมหลังจากทีมเก็บแต้มได้เป็บกอบเป็นกำแถมทรงบอลก็เข้าที่เข้าทาง จากที่ได้เห็นแบบนี้เเล้วก็ขอสารภาพเลยว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเจอกับใครก็ดูมีหวังจะชนะมากกว่าเดิม หรือเรียกกันง่ายๆว่างานนี้ความมั่นใจจัดอยู่ในระดับ "มาเต็ม" แน่นอน ... และเราจะมาดูกันว่าสมดุลที่ฟาน กัล ตามหาจะพาทีมไปได้ไกลขนาดไหนของช่วงที่เหลือในฤดูกาลนี้

ขอให้ทุกท่านมีสัปดาห์ที่เยี่ยมยอดเช่นเคย สวัสดีครับ :D

Ads



Related Post