เกมซุปเปอร์บิ๊กแมตช์ที่เเสตมฟอร์ด บริดจ์ เกมนี้ หลุยส์ ฟาน กัล จัดตัวผู้เล่นแบบไร้ทางเลือกเพราะการขาดหายไปของ 4 ผู้เล่นตัวหลักอย่าง ฟิล โจนส์ , มาร์กอส โรโฮ , ไมเคิล คาร์รริค และ ดาลี่ย์ บลินด์ ที่กำลังฟอร์มแรงในระยะหลัง โดย 11 ตัวจริงในเกมนี้ได้เเก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา , อันโตนิโอ วาเลนเซีย , คริส สมอลลื่ง , แพ็ดดี้ แม็คเเนร์ , ลุค ชอว์ , อันเดร์ เอร์เรร่า , เวย์น รูนี่ย์ , ฆวน มาต้า , มารูยาน เฟลไลนี่ , แอชลี่ย์ ยัง และ ราดาเมล ฟัลเกา
เริ่มเกมในครึ่งแรกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายครองบอลอยู่แทบจะ 45 นาที แต่หาโอกาสยิงได้น้อยมากจังหวะที่จะแจ้งที่สุดของปีศาจเเดงเกิดขึ้นตั้งแต่ในนาทีที่ 3 ที่ แอชลี่ย์ ยัง แทงบอลทะลุช่องทางกราบซ้ายให้ลุค ชอว์ ก่อน ชอว์ จะหักกลับมาบริเวณหัวกระโหลก และเป็น เวย์น รูนี่ย์ ที่วิ่งเข้ามาสับด้วยซ้ายแต่บอลกลับหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียได้
เชลซี ยังคงช่ำชองในการเล่นเกมรับและสวนกลับ แนวรับของพวกเขาแทบไม่พลาดให้เห็นเลย และยิ่งกว่านั้นในเกมรุก อาซาร์ ดร๊อกบา และ ออสก้า เล่นเกมสวนกลับได้อย่างวูบวาบมีโอกาสได้เสียวอยู่หลายครั้ง
ในที่สุด ยูไนเต็ด ก็มาพลาดในนาทีที่ 38 จากการเสียบอลในเเดนกลางของ ราดาเมล ฟัลเกา ก่อน ก่อนที่ ออสก้า จะรับบอลและตอกส้นให้ อาซาร์ หลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับ เด เคอา และ ดาวเตะทีมชาติเบลเยี่ยมก็นิ่งพอที่จะเลือกยิงลอดขาเข้าประตูไปอย่างเฉียบขาด จบครึ่งแรก เชลซี นำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0
เกมครึ่งหลังทั้งสองทีมยังคงไม่มีการเปลี่ยนตัว และรูปเกมก็เป็นในแบบเดิมคือ ยูไนเต็ด ครองบอล และ เชลซี รอสวน กว่าที่ ปีศาจเเดง จะเริ่มกดดันได้บ้างต้องรอถึงช่วง 15 นาทีสุดท้าย โดยโอกาสดีที่สุดเกิดขึ้นในนาทีที่ 77 จาก ราดาเมล ฟัลเกา ที่ได้บอลจากลุคชอว์หลุดเดี่ยวเยื้องมาทางซ้ายก่อนที่พี่เสือจะซัดบอลโดนสามเหลี่ยมไปอย่างน่าเสียดาย
จนเเล้วจนรอด ยูไนเต็ด ก็ไม่สามารถบุกเจาะแนวรับของเชลซีแม้จะเปลี่ยนนักเตะที่เลี้ยงบอลดีอย่าง ดิ มาเรีย และ ยานาไซจ์ ลงมาแต่ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้มาก จบเกมที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซี เปิดบ้านต้อน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0
ความคิดเห็นหลังเกมจากทีมงาน
แม้จะแพ้ไปในเกมนี้แต่ถ้ามองโดยรวมเเล้วยังไม่น่าผิดหวังมากนัก เชลซี ขึ้นชื่อเหลือเกินเรื่องการเล่นในบ้านอีกทั้งเกมนี้พวกเขายังตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ง่ายกว่ามากเพราะแค่เพียงเสมอพวกเขาก็จะจ่อแชมป์อย่างแบเบอร์แล้ว รูปเกมจึงเป็นอย่างที่ทุกท่านได้เห็นกันนั่นคือการครองบอลที่มากกว่าของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แม้ว่ายูไนเต็ดจะครองบอลได้มากกว่า แต่ดูเหมือนว่าการขาดหายไปของไมเคิล คาร์ริค ที่เป็นหัวใจของทีมทำให้เเดนกลางดูไม่นิ่งเอาเสียเลย รูนี่ย์ และ เอร์เรร่า ผ่านบอลเสียหลายครั้ง และทั้งคู่ยังยืนตำแหน่งดูเหมือนกั๊กๆกันอีกต่างหาก
อีกเรื่องที่อยากจะพูดถึงคือฟอร์มการเล่นของ ราดาเมล ฟัลเกา ที่ดูแล้วยังฝากผีฝากไข้ในเเดนหน้าไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการพักบอล การมีส่วนร่วมกับเกม หรือการจบสกอร์ ทั้งหมดทั้งมวลที่เขาได้ทำในเกมนี้เป็นการบอกนัยๆถึงอนาคตของ "เอล ติเกร" ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดใกล้หมดเวลาลงเเล้ว
และยังต้องชื่นชมเจ้าบ้านเชลซี ที่เล่นเกมรับได้อย่างรัดกุมและแน่นหนา แทบไม่มีการพลาดให้เห็นเลยในเกมนี้ ซึ่งก็อย่างว่าแหละครับแท็คติกแบบนี้คือจุดขายและเครื่องหมายการค้าของ มูริญโญ่ และ เชลซี มาแต่ไหนแต่ไรเเล้ว ยิ่งมาเจอกับปีศาจเเดงในยามขาดตัวหลักเช่นนี้ทำให้งานของพวกเขาง่ายขึ้นไปอีก
สุดท้ายนี้ต้องยอมรับว่าเรายังไม่ดีพอที่จะคว้าแต้มกลับมาได้ และยังต้องแก้ไขกันต่อไปในโอกาสหน้า อยากฝากแฟนๆไว้หน่อยนะครับอย่าเพิ่งหัวเสียกันมากมายมันเป็นธรรมดาของฟุตบอล ฤดูกาลนี้ท๊อป 4 คงไม่หนีเราไปไหน ไว้ปีหน้าเราค่อยกลับมาสู้กันใหม่อีกครั้งและผลการแข่งขันมันจะไม่ออกมาเป็นแบบนี้แน่นอน
Glory Glory Man United !!