เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ขุนพลทีมชาติอังกฤษ ต้องตกเป็นเป้าในการโห่ของบรรดากองเชียร์หลังจากทีมอังกฤษ ตกรอบฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก ในการพ่ายให้แก่ทีม โครเอชีย เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นการชวดการเล่นฟุตบอลระดับชาติครั้งแรกตั้งแต่ฟุตบอลโลกในปี 1994

        เหล่าบรรดานักเตะคนสำคัญที่เจอเสียงโห่ไล่เมื่อคืนนี้ได้แก่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด แม้จะนำ ลิเวอร์พูล บุกไปถล่ม นิวคาสเซิล คาถิ่น เซนต์ เจมส์ ปาร์ก ไป 0-3 ก็ตาม 

สก๊อต คาร์สัน ผู้รักษาประตูที่โชว์ฟอร์มสุดรั่วในนัดที่ผ่านมา และ แกเร็ธ แบร์รี่ เพื่อนร่วมทีมแอสตัน วิลล่า ก็โดนไม่แพ้กันหลังพาทีมออกไปเยือน มิดเดิ้ลสโบรซ์ ในถิ่น ริเวอร์ไซด์

รวมถึงขุนพลของเชลซี อย่าง จอห์น เทอร์รี่, แฟรงค์ แลมพาร์ด และ ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ ที่พาทีมเก็บชัยชนะมาได้ในถิ่นของ ดาร์บี้ เคาน์ตี้

        เจอร์ราร์ด ซึ่งเป็นผู้ยิงประตูขึ้นนำ และมีส่วนร่วมกับอีกสองประตู กล่าวกับ สกาย สปอร์ต ว่าตัวเขานั้นขอยอมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แต่โดยดี "ผม และนักเตะทีมชาติทุกคนจะต้องยอมรับผิดจากเหตุการณ์นี้"

        "ผมเข้าใจดีจากประสบการณ์ ในเมื่อเราทำให้แฟนบอลผิดหวังที่ไม่ได้เล่นยูโรปีหน้า เราก็สมควรจะถูกวิพากษ์วิจารณ์"

        "อย่างไรก็ดี ลิเวอร์พูลมีเกมใหญ่จะต้องเล่น ดังนั้นตอนนี้ผมจำเป็นต้องหยุดเรื่องราวของทีมชาติไว้ก่อน เพื่อจะมาทุ่มเทให้กับสโมสร แล้วเมื่อเกมทีมชาติมาถึงอีกครั้ง ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีส่วนร่วมกับตรงนั้น"

        ทางด้าน มาร์ติน โอนีล กุนซือแอสตัน วิลล่า ผู้ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษต่อจาก สตีฟ แม็คคลาเรน กล่าวชม สก๊อต คาร์สัน ผู้รักษาประตูซึ่งลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรก และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมเสียประตูแรกให้กับทีมโครเอเชีย ว่า

        "ช่วงต้นเกมเขาอาจจะพลาดนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นเขาเล่นได้ยอดมาก ผมพอใจกับฟอร์มของเขาวันนี้จริงๆ" โอนีล กล่าวผ่านสำนักข่าวบีบีซี

        ส่วน อาร์เซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมของสโมสรอาร์เซนอล ก็ออกมาพูดเกี่ยวกับปฏิกิริยาของแฟนบอลที่มีต่อนักเตะทีมชาติอังกฤษ ว่า

        "แฟนบอลโห่เป็นเพราะพวกเขาผิดหวังมาก" เวนเกอร์ กล่าว

        "ทีมอังกฤษมีผู้เล่นระดับโลกอยู่หลายคน และพวกเขาคงต้องกลับไปแก้ไขบางอย่าง แต่ผมก็อยากให้คุณนึกถึงฟุตบอลโลก 1994 ทีมชาติฝรั่งเศสก็ไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ทั้งๆที่มีผู้เล่นระดับโลกอย่าง เปอตีต์, บล็องก์ และเดสชองส์"